วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

รูปถ่ายที่แพงที่สุด

รูปถ่ายมันฝรั่งรูปนี้ ขายได้ในราคา 40 ล้านบาท 




 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ศิลปินนักถ่ายภาพชื่อดังระดับโลก เผยหนุ่มนักธุรกิจใจป้ำ ซื้อภาพถ่ายหัวมันฝรั่งของเขาไปในราคาสุดช็อกเฉียด 40 ล้านบาท 

              หากได้เห็นภาพนี้ คนทั่วไปที่ไม่มีหัวไปทางศิลป์ ก็คงจะคิดไม่ต่างกันว่ารูปร่างหน้าตาของมันหัวนี้ก็เหมือนกับหัวมันทั่ว ๆ ไป หรือบางคนอาจจะดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็นภาพของอะไร แต่ขอบอกเลยภาพถ่ายภาพนี้มีคุณค่าอย่างไม่น่าเชื่อ ราคาของมันมหาศาลมากจนทำเอาตะลึง โดยเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2559 เมื่อเว็บไซต์อินดิเพนเดนท์ของอังกฤษ ได้นำภาพของหัวมันฝรั่งดังกล่าวมาเผยให้ได้ชมกัน 




              เควิน แอบอสช์ ชายศิลปินนักถ่ายภาพระดับโลกชาวไอริช วัย 46 ปี เปิดเผยว่า ภาพถ่ายของเขาที่มีชื่อว่า Potato #345 ซึ่งเป็นรูปหัวมันฝรั่งออแกนิกส์บนภาพพื้นหลังสีดำ ถูกนักธุรกิจชาวยุโรปซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ซื้อไปในราคา 1 ล้านยูโร หรือประมาณ 39 ล้านบาท 



              โดยภาพถ่ายดังกล่าวนี้ ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 2010 เป็นหนึ่งในภาพถ่ายที่อยู่ในชุดของผลงานเด่น ๆ หลายชิ้น อาทิ ภาพของผู้กำกับชื่อดัง สตีเวน สปีลเบิร์ก, นักแสดงตลก ไมเคิล พาลิน และ นักธุรกิจสาวคนดัง เชอริล แซนด์เบิร์ก ซึ่งผลงานของเควินแต่ละภาพ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาททั้งนั้น

              สำหรับภาพถ่ายรูปหัวมันฝรั่งนี้มีอยู่ทั้งหมด 3 ชิ้นด้วยกัน ชิ้นหนึ่งตัวเควินเก็บไว้เอง ชิ้นที่สองบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ในประเทศเซอร์เบีย และชิ้นที่ 3 เพิ่งขายออกไปดังกล่าว

              อย่างไรก็ดี เควิน เผยว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภาพผลงานศิลปะของเขาจะถูกขอซื้อไปจากนิทรรศการของเขาเช่นนี้
 
 
Kevin Abosch (เควิน แอบอสช์) ศิลปินนักถ่ายภาพระดับโลกชาวไอริช วัย 46 ปี (ชายผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากในวงการถ่ายรูป เขาได้รับเชิญให้ไปถ่ายภาพคนดังมากมาย) เควินเปิดเผยว่า ภาพถ่ายของเขาที่มีชื่อว่า Potato #345 ซึ่งเป็นรูปหัวมันฝรั่งออแกนิกส์บนภาพพื้นหลังสีดำ ถูกนักธุรกิจชาวยุโรปซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ซื้อไปในราคา 1 ล้านยูโร หรือประมาณ 39 ล้านบาท!



โดยภาพถ่ายดังกล่าวนี้ ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 2010 เป็นหนึ่งในภาพถ่ายที่อยู่ในชุดของผลงานเด่นๆ หลายชิ้น อาทิ ภาพของผู้กำกับชื่อดัง สตีเวน สปีลเบิร์ก, นักแสดงตลก ไมเคิล พาลิน และ นักธุรกิจสาวคนดัง เชอริล แซนด์เบิร์ก ซึ่งผลงานของเควินแต่ละภาพ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาททั้งนั้น

สำหรับภาพถ่ายรูปหัวมันฝรั่งนี้มีอยู่ทั้งหมด 3 ชิ้นด้วยกัน ชิ้นหนึ่งตัวเควินเก็บไว้เอง ชิ้นที่สองบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ในประเทศเซอร์เบีย และชิ้นที่ 3 เพิ่งขายออกไป



ที่มา – kapook
          www.flagfrog.com

Uper

ขับแท๊กซี่ ที่สามารถทำเงินได้เดือนละ 700,000 บาท โดยการขับเองเพียงครั้งเดียว







พูดถึง Uber ในช่วงๆ 2-3 ปีที่แล้วหลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ในปัจจุบันก็ยอมรับได้เลยว่าเรารู้จักกันมากขึ้น

Joseph Ziyaee พ่อหนุ่มคนนี้สามารถทำเงินได้จาก Uber ระบบแท๊กซี่ชื่อดัง ในช่วง 6 เดือนล่าสุดได้สูงถึง 90,000 เหรียญ ประมาณ 3,200,000 บาท  โดยเฉพาะในเดือนแรกซึ่งเขาสามารถทำได้มากถึง 20,000 เหรียญ หรือประมาณ 700,000 บาท แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เงินที่เขาสามารถหาได้มาทั้งหมดนี้ มาจากการขับเองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มาดูกันเลยว่าเขาทำได้อย่างไร



เขาทำเงินโดยผ่านทางโปรแกรมแนะนำคนอื่นเข้ามาขับ หรือที่เรียกว่า Referral ซึ่งเปิดโอกาสให้คนขับเดิม ชวนเพื่อนมาขับ และจะทำให้คนที่ชวนมานั้นได้โบนัส โดยเขาได้รับฉายาว่า Uber King เลยทีเดียว เพราะเขานั้นเก่งจริงๆ




โดยเขานั้น ไม่ใช่พวกมือสมัครเล่น เพราะเขาจะเชิญชวนทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ และหากใครที่สนใจเขาก็จะดูแลเทคแคร์ทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี โดยเขารู้สึกหลงไหลและรักในอาชีพนี้เลยก็ว่าได้ เพราะดูจากการตกแต่งบ้านของเขานั้น ก็มีทั้ง โมเดลรถ สติ๊กเกอร์Uber แม้กระทั่งกรวยจราจรก็ยังเอามาตั้งในบ้าน นี่แหละครับ ความหลงไหลในสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คนเราประสบความสำเร็จ




พนักงานกอดหมีแพนด้า
อาชีพสุดฟิน ที่ปีหนึ่งทำเงินได้เป็นล้าน (เดือนละ 95,000 บาท)




งานนี้มีจริงๆที่ประเทศจีน โดยศูนย์ Giant Panda Protection and Research Center (ศูนย์อนุรักษ์และวิจัยแพนด้ายักษ์) นั้นเปิดรับสมัครพนักงานที่คอยดูแลเทคแคร์และเอาใจใส่ ตลอดจนเป็นเพื่อนกับหมีแพนด้า


 
หน้าที่ของคุณมีอย่างเดียวคือใช้เวลา 365 วันในการเล่นกับแพนด้า คอยแบ่งปันความสุขและความเศร้า คุณจำเป็นต้องขยันมากๆสำหรับงานนี้ เราคิดว่าน่าจะมีผู้สมัครที่เคยเป็นพนักงานออฟฟิศจากเมืองใหญ่เป็นส่วนมาก พวกเขาเคยกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน แต่ที่นี่ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก เพราะฉะนั้นคุณอาจจะลำบากนิดหนึ่ง




แต่ลองคิดดูครับว่า เพื่อแลกกับการได้ใกล้ชิดกับแพนด้า และเงินเดือนที่สูงลิ่วซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆเลยที่ประเทศจีน ผมว่าก็คุ้มนะ ปีหนึ่งหาเงินได้เป็นล้านเลย เดือนละ 95,000 บาท



ที่มา
http://www.elitereaders.com/
http://www.flagfrog.com/
โจว ฉุนเฟย จากลูกน้องค่าแรง 35 บาทต่อวัน สู่มหาเศรษฐีที่มีรายได้ 8 หมื่นล้านบาทต่อปี!




นี่คือเรื่องราวชีวิตจริงของ Zhou Qunfei (โจว ฉุนเฟย) เธอเกิดในครอบครัวยากจน ที่มณฑลเหอหนานของประเทศ จีน ในปี 1970 แม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยัง 5 ขวบ ส่วนพ่อทำงานโรงงานและระสบอุบัติเหตุจนสูญเสียนิ้วมือและตาบอด เธอต้องเลี้ยงเป็ดและหมู เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว และเจียดเงินส่วนหนึ่งส่งตัวเองเข้าโรงเรียน
โชคร้ายเธอมีเงินเรียนได้แค่นั้น เมื่ออายุ 16 ปีก็ต้องออกจากโรงเรียนแล้วหางานทำ เธอเร่ร่อนไปตายดาบหน้า ขอที่พักกับคุณลุงในมณฑลกวางตุ้ง จนมาได้งานเป็นสาว โรงงาน ผลิตกระจกที่เมืองเซินเจิ้น ด้วยค่าแรงวันละ 35 บาทเท่านั้น!



“สภาพการทำงานเลวร้ายมาก ฉันทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปจนถึงเที่ยงคืน บางครั้งก็ตี 2 เพราะบริษัทมีพนักงานไม่กี่สิบคน จึงไม่มีกะทำงาน ทุกคนต้องมานั่งเช็ดกระจก และฉันไม่มีความสุขเลย” – โจว ฉุนเฟย เล่าถึงชีวิตตอนทำงานเป็นสาวโรงงาน
หลังจาก 3 เดือนผ่านไป เธอเขียนจดหมายลาออก อธิบายเจ้านายถึงเวลาทำงานที่มากเกินไปแต่ก็แสดงความต้องการให้เห็นด้วยว่าเธอต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มเติม นั่นทำเจ้านานประทับใจ และขอให้เธออยู่ต่อ พร้อมสัญญาว่าจะนำระบบงานใหม่มาใช้ และเป็นไปตามนั้นนางโจว ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นในบริษัทนี้ด้วย


ชีวิตทำงานของเธอไม่ได้ผ่านไปวันๆ เพราะเธอได้เรียนรู้ว่าอุตสาหกรรมกระจกในจีนค้าขายกันอย่างไร จนเธอตัดสินใจย้ายกลับไปบ้านเกิด เพื่อตั้งบริษัทของตัวเองในปี 2003 นั่นก็คือสำนักงานใหญ่ของบริษัท Lens Technology

บริษัทของเธอ เริ่มผลิตหน้าจอมือถือให้แก่ HTC โนเกีย และซัมซุง จนกระทั่งปี 2007 ผู้เล่นรายใหญ่อย่างไอโฟนก็เข้ามา จนเธอกลายเป็นผู้ผลิตกระจกหน้าจอมือถือ ให้แก่ยักษ์ใหญ่ระดับโลก นั่นเป็นที่มาของรายได้มากถึง 70% ของรายได้ทั้งบริษัท ที่มีรายได้รวม 2.3 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 8หมื่นล้านบาท
เลนส์ เทคโนโลยี เจริญก้าวหน้าเติบโตขยายขนาดการลงทุนเพิ่มต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีพนักงานมากว่า 6 หมื่นคน มีที่ตั้ง โรงงาน อยู่ทั่วประเทศ ในเดือนมีนาคามที่ผ่านมา บริษัทของเธอได้เปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น มูลค่าหุ้นของเธอ มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 7.4 พันล้านเหรียญ(2.59 แสนล้านบาท)




นิตยสารฟอร์บส์ ของสหรัฐฯ ยกให้เธอเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศจีน และเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุด ในโลก ในกลุ่มสตรีผู้ที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยตัวเอง ตอนนี้เธอได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งหน้าจอมือถือ”

ที่มา
http://www.kiitdoo.com/
http://www.flagfrog.com/
ชายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในโลก ที่ขึ้นราคายาต้านเอดส์ (500 เป็น 25,000) ไม่สนว่าใครจะตาย




Martin Shkreli ชายผู้นี้เป็นคนที่ชาวอเมริกันและชาวโลกพร้อมใจกันเกลียดมากที่สุดคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่า เขาได้เข้าซื้อสิทธิบัตรในการผลิตยาต้านเอดส์จากบริษัท Turing Pharmaceutical ที่ถือสิทธิบัตรยา Daraprim ที่เป็นยาต้าน HIV แต่เพียงผู้เดียว

นั่นทำให้เขาสามารถกำหนดราคาได้ตามใจชอบโดยไม่มีความผิดทางกฎมาย และเขาได้ปั่นราคามันขึ้นไปจาก 13.5 ดอลลาร์ เป็น 750 ดอลลาร์ มากขึ้นกว่า 50 เท่า ทั้งที่จริง ยานี้มีต้นทุนอยู่ประมาณเม็ดละ 1 ดอลลาร์เท่านั้น ทำให้คนติดเชื้อเอดส์แต่ไม่มีกำลังทรัพย์ในการซื้อยานั้น ต้องยอมรับชะตากรรม หรือบางคนอาจจะซื้อยาเถื่อน แต่ก็มีความเสียงสูงอยู่ดี(เหมือนกับซื้อยาบ้าหรือโคเคนยังไงยังงั้น) แม่มเลวจริงๆ





และเพื่อนๆอาจจะเกิดคำถามว่า แล้วทำไมบริษัทยารายอื่น ถึงไม่ผลิตยาตัวนี้ออกมาเหมือนกันหล่ะ นั่นเป็นเพราะว่า การจะผลิตยาขายใน US ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ต้องผ่าน FDA ซึ่งอาจจะต้องใช้เงินหลายล้านดอลล่าร์ และ เมื่อเข้ามาขายยาต้านเอดส์ได้ก็ต้องแข่งกับบริษัทของ Martin Shkreli อีก ซึ่ง Martin ก็คงลดราคากลับไปเหลือ $13.50 เหมือนเดิม ดังนั้นเมื่อประเมินแล้ว ยังไงก็ไม่น่าจะคุ้ม







ที่มา
http://www.catdumb.com/
https://www.fongmun.com
http://www.flagfrog.com/

ซอสมะเขือเทศแผ่น

“ซอสมะเขือเทศแบบแผ่น” ที่จะทำให้การกินเบอร์เกอร์ ไม่เลอะเทอะอีกต่อไป!







นาย Ernesto Uchimura เชฟจากร้านอาหารใน LA ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เข้าใจลูกค้าและเข้าใจเหล่ามวลมนุษย์ชาติที่เป็นทาสแฮมเบอร์เกอร์ ที่เวลากินนั้นจะต้องหกเลอะเทอะ เปื้อนนู่นเปื้อนนี่เต็มไปหมด ทำให้เขาได้ไอเดียทำซอสมะเขือเทศแบบแผ่นออกมาสะเลย





โดยเจ้าซอสมะเขือเทศนี้จะมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแบบกระด้าง ซึ่งมันจะละลายก็ต่อเมื่อนำมันไปวางกับเนื้อเบอร์เกอร์ร้อนๆ ฉ่ำๆ เพราะเขาเบื่อซอสมะเขือเทศเยิ้มๆ ที่ทำให้แป้งเบอร์เกอร์นั้นแฉะเต็มที






โดยเชฟผู้นี้ก็ไม่ได้หวงสูตรอะไรเลย เขาบอกว่า ซอสมะเขือเทศของเขานั้น ผสมเข้ากับซอสถั่วเหลือง กระเทียม และพริกอีกหลายชนิด จากนั้นเขาก็เทมันลงไปบางๆ บนถาด จากนั้นก็นำไปอบให้แห้ง และเราก็จะได้ซอสมะเขือเทศแบบแผ่นแบบนี้นั่นเองครับ






ที่มา http://www.flagfrog.com/
   http://www.catdumb.com/
ผู้ลี้ภัย แบกเสื่อผืนหมอนใบ ขายปากกา สู่การเป็นเถ้าแก่เงินล้าน 







Abdul Halim Attar (อับดุล ฮาลิม อัตตา) วัย 33 ปี ผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ ที่ลี้ภัยจากประเทศซีเรียจากสงครามในคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งก่อนหน้านี้ ประกอบอาชีพเร่ขายปากกาในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน แต่ในขณะนี้ เขาเป็นเจ้าของกิจการกว่า 3 กิจการ ทั้งร้านเบเกอรี่ ร้านเคบับ และร้านอาหารขนาดเล็ก มีรายได้รวมราว 191,000 ดอลลาร์ หรือราว 6,850,000 บาท

ทั้งนี้ สิ่งที่จุดประกายธุรกิจทั้งหมดของเขา มาจากการระดมทุนในแคมเปญ crowdfunding หรือการขายไอเดียให้คนช่วยสนับสนุนเงินทุนมาสร้างธุรกิจ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ จนประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารถึง 3 อย่าง และมีลูกจ้าง ซึ่งเป็นผู้อพยพจากตะวันออกกลางเช่นเดียวกันอีก 16 ชีวิต

จากเดิมที่ชะตาชีวิตพลิกผัน ให้พลัดพลากจากบ้านเกิด ต้องมาอาศัยอยู่ในห้องแคบ ๆ ตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งที่อยู่อาศัยที่กว้างขึ้น และมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูก ๆ ของเขานอกจากนี้ลูก ๆ ของเขายังได้มีโอกาสไปโรงเรียน และได้รับการศึกษาดังเช่นเด็กทั่ว ๆ ไป

ส่วนเส้นทางธุรกิจของเขา เริ่มจากการระดมทุนจากเว็บไซต์ Indiegogo และ Paypal ให้ผู้มีความฝัน มาขายไอเดีย ให้คนช่วยสนับสนุนเงิน แต่เมื่อโครงการสำเร็จ เขากลับต้องดำเนินการในการทำธรุกรรมทางการเงินที่ยากลำบาก เพราะในฐานะผู้ลี้ภัย เขาไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารในประเทศเลบานอนได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ลี้ภัยกว่า 1.2 ล้าน คน ที่เดินทางมายังประเทศเลบานอน ต่างต้องดิ้นรน หางานเพื่อนำเงินมาเลี้ยงชีพ และมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ที่มีงานทำ ซึ่งจากกรณีของเจ้าของธุรกิจซึ่งเคยเป็นเพียงผู้อพยพรายนี้ถือเป็นเรื่องที่พิเศษ และเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ เขาได้รับการนับหน้าถือตา มากกว่าตอนที่ยังเป็นเพียงแค่ผู้ลี้ภัยจนเขาสังเกตเห็นได้ชัด

ที่มา

http://www.flagfrog.com/
http://news.mthai.com/

Walt Disneyให้อะไรเรามากกว่าการ์ตูน






          หนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและเป็นที่รักของคนหลายรุ่นต่อหลายรุ่นนั้น ก็คือ Walt Disney ความสำเร็จของเขาจากการสร้างตัวการ์ตูนขึ้นมาโลดแล่นอยู่ในหัวใจคนอย่าง Mickey Mouse หรือความสามารถในการก่อตั้ง Disneyland ทำให้เขาได้รับรางวัลมากมาย และชื่อเสียงที่ถือเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้

Walt Disney (วอลท์ ดิสนีย์) ชายผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความสร้างสรรค์ ผู้ให้กำเนิดตัวการ์ตูนชื่อดังระดับโลกมากมาย ผู้มอบความสุขแก่เด็กๆมาอย่างยาวนาน และนี่ก็คือ 10 คำคมที่เราคัดมาแล้วว่าดีที่สุด และอยากให้คุณได้อ่านจริงๆ

1.ยิ่งคุณชอบตัวเองมากเท่าไหร่ คุณก็จะเหมือนคนอื่นน้อยลงเท่านั้น และนั่นทำให้คุณมีเอกลักษณ์


2.บางทีมันก็สนุกเหมือนกันนะที่ได้ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ขึ้นมา


3.ทำไมต้องกังวล ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำดีที่สุดแล้ว คุณก็ไม่ต้องกังวล ความกังวลไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น


4.มีสิ่งมีค่ามากมายในหนังสือ มากกว่าของมีค่าจากเกาะมหาสมบัติเสียอีก


5.เงินไม่เคยทำให้ฉันตื่นเต้น แต่ไอเดียของฉันต่างหากล่ะ


6.เวลาคุณเชื่อในอะไรซักอย่างหนึ่ง คุณต้องเชื่อให้ถึงที่สุด และเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา


7.วิธีเริ่มทำอะไรซักอย่างหนึ่ง คือ หยุดพูด และลงมือทำ


8.ฝันของเราเป็นจริงได้ทุกอย่าง แค่เรากล้าจะตามล่ามันหรือเปล่าแค่นั้นเอง


9.ความแตกต่างของการชนะกับการแพ้ ก็คือ การไม่ล้มเลิก นั่นเอง


10.เสียงหัวเราะไม่มีวันหมดอายุ จินตนาการไม่เคยแก่ลง ความฝันยังคงอยู่ตลอดไป





ที่มา – kiitdoo

จากต่ำสุดสู่สูงสุด

7 CEO ที่เริ่มต้นจากชีวิตที่ โคตรจน แต่ตอนนี้ กลายเป็นมหาเศรษฐีโคตรรวย

             ความจริงแล้ว businessinsider เขียนไว้ทั้งหมด 14 คน แต่ผมขอยกมาเพียง 7 คนที่คนไทยเรารู้จักกันจริงๆ ซึ่งชีวิตของพวกเขานั้น น่าจะเป็นแรงบันดาลใจดีๆให้กับคนที่กำลังเริ่มธุรกิจของตัวเอง หรือคนที่กำลังท้อแท้

1.Jan Koum ผู้ก่อตั้ง Whats App




ตอนอายุ 16 เขาต้องเผชิญกับความตกอับและยากลำบากมาก ถึงขั้นที่ต้องยังชีพด้วย คูปองแลกอาหาร



2.Jack Ma ผู้ก่อตั้งบริษัท Alibaba



ก่อนจะเป็นมหาเศรษฐี เขาจนและต้องดิ้นรนหางาน และแม้แต่ KFC ก็ยังไม่รับเขาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ด้วยซ้ำ


3.Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้งบริษัท IKEA



ตอนอายุ 7 ขวบ เขาจนถึงขั้นต้องขายไม้ขีดไฟเลี้ยงชีพ และพอเข้าช่วงอายุ 21 เขาก็ผันตัวมาขายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาก่อตั้งบริษัท IKEA ในเวลาต่อมา


4.Howard Schultz ผู้ก่อตั้งกาแฟดัง Starbucks



ครอบครัวของเขาค่อนข้างยากจน และนั่นก็ทำให้ Howard ในวัยเด็กต้องฝ่าฟันอย่างหนัก แต่เพราะเขาเป็นคนหัวดีอยู่แล้ว ทำให้เขาสามารถก่อตั้ง Starbucks ขึ้นมาได้



5.Ralph Lauren ผู้ก่อตั้ง Polo



ก่อนจะมาเป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเพียงเสมียนที่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศวันละหลายชั่วโมงมาก่อน


6.Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle



Larry Ellison โตมาในครอบครัวที่ไร้พ่อ ซึ่งเขากับแม่ต้องประสบกับความยากลำบากมากมาย และนั่นก็ต้องทำให้เขา รับจ้างทำงานทั่วไปนานถึง 8 ปี



7.Roman Abramovich เจ้าของทีมฟุตบอลชื่อดัง Chelsea



เขาเสียพ่อไปตั้งแต่อายุได้เพียง 4 ขวบ และเสียแม่ไปตอนอายุ 18 จากนั้นเขาก็ฝ่าฟันชีวิตมาแบบลำบากสุดๆ แต่แล้วโชคชะตาที่พลิกไปพลิกมานั้น ทำให้เขาได้เข้าไปทำงานในการซื้อขายน้ำมันทางตะวันตกของซีเรีย และด้วยความเก่งและความอดทน ก็สามารถไต่เต้าจนเป็นเจ้าของได้เอง




ที่มา http://www.catdumb.com/
http://www.flagfrog.com/

กิจวัตรของคนเปลี่ยนโลก


Steve Jobs



Jobs จะตื่นเช้าทุกวัน และทุกเช้า Jobs จะมองกระจกแล้วถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันคือสิ่งที่ใช่หรือไม่ เรามีความสุขกับมันแน่ๆใช่ไหม? ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ แสดงว่าต้องเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆได้แล้ว



Mark Zuckerberg



สำหรับ CEO Facebook มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก นั้นมักจะนอนไม่เป็นเวลาเท่าไหร่ เพราะด้วยงานที่ยุ่งและต้องเข้าประชุมตลอดเวลา แต่เขาก็มีข้อคิดดีๆที่เราสามารถนำไปปรับใช้กับชัีวิตของเราได้ นั่นก็คือ มาร์ค มักจะแต่งตัวซ้ำๆเดิมๆเหมือนๆกันทุกวัน นั่นเป็นเพราะว่า มาร์ค ไม่อยากที่จะเสียเวลาให้กับเรื่องที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ อย่างการแต่งตัว โดยเขาบอกว่า “มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจน้อยลงไป 1 เรื่อง” ซึ่งผมคิดว่านั่นก็เป็นเรื่องดีนะครับ เพราะจะได้เอาความใส่ใจทั้งหมดไปให้กับสิ่งที่สำคัญกว่าได้แบบเต็มที่นั่นเอง


Barack Obama




โอบาม่าจะตื่นนอนไม่เกิน 6:45 ทุกวัน เพื่อออกกำลังกายทั้งยกเหล็กและคาร์ดิโอเพื่อรักษาความฟิต ก่อนจะลงมาร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับครอบครัว และช่วยแพ็คของให้ลูกก่อนจะไปทำงาน เป็นคนที่รักครอบครัว และมีระเบียบวินัยอย่างมากเลยทีเดียว ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีต่อประชาชนมาก




Howard Schultz (ผู้ก่อตั้ง Starbucks)



ผู้บริหารที่ดูแลสุขภาพมาก Schultz กิจกรรมช่วงเช้าของผู้บริหารร้านกาแฟ ย่อมต้องมีสไตล์กว่าคนอื่น Schultz ตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่งเพื่อเอาหมาไปเดินเล่นและออกกำลังกายจนถึงเวลาประมาณ 6 โมงเช้า จากนั้นจะเป็นเวลาความร่มรื่นในการชงกาแฟ ก่อนเริ่มงาน เพราะด้วยใจที่รักกาแฟนี่เอง ทำให้เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว


Bill Gates



บิล เกตส์ เป็นคนที่ชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และรักษาสุขภาพไม่แพ้ Obama เลย ทุกๆเช้า บิล เกตส์ จะตื่นขึ้นเพื่อมาวิ่งบนลู่วิ่ง ประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมๆกับหาความรู้ใหม่ๆเลขาที่จะส่งข่าวอัพเดตเทรนด์ ไอเดียให้ บิล เกตส์ ทุกเช้า เพราะเขาเชื่อว่า เป็นการวอร์มสมองก่อนที่จะไปคิดอะไรหนักๆทั้งวัน




ที่มา
http://www.unlockmen.com/
http://www.flagfrog.com/

จะเผยไต๋ให้ใครรู้

       เผยผลการวิจัยยืนยัน! คนที่ชอบป่าวประกาศเป้าหมายของตัวเอง มักไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย





        รู้รึเปล่าว่าคนที่ชอบเล่าแผนการชีวิตของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มักจะเจอความล้มเหลวบ่อยกว่าคนที่เก็บมันเอาไว้กับตัว หรือเปิดเผยเฉพาะกับบุคคลที่เหมาะสมที่จะฟังบางครั้งคราว
นี่คือเคล็ดลับการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งที่ถูกศึกษาตั้งแต่ปี 1920 เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยหล่ะครับ งานวิจัย

 
        ถ้าเรามีเป้าหมายสูงสุดในชีวิตซักอย่างและตั้งใจว่าจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ สิ่งที่เราไม่ควรทำคือการเล่ามันให้คนอื่นฟังบ่อยๆ เพราะการเล่าหรือพูดเกี่ยวกับเป้าหมายหรือแผนการของตนเองให้ผู้อื่นฟัง จะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนเดียวกับที่ให้ความรู้สึกดี ทำให้จิตใจเราจะถูกหลอกว่าเราได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้วทำให้ความกระตือรือร้น ที่จะทำมันลดลง และมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวมากขึ้น
และสิ่งที่ควรทำก็คือ ฟัง และ ลงมือทำ หากทำสองสิ่งนี้ให้มากกว่าการพูด รับรองว่าหน้าที่การงานและความฝันที่ตั้งไว้ เราจะต้องเดินทางไปถึงอย่างแน่นอนครับ






ที่มา 
 indepencil
.flagfrog.com

วิกฤตการเงินที่กระทบถึงผู้หญิง


กรีซวิกฤตหนัก ยอมขายตัวแลกเงินน้อยนิด






             ศาสตราจารย์ลาซอส ได้ศึกษาเรื่องนี้มาเป็นเวลา 3 ปี โดยอาศัยข้อมูลของหญิงสาวประกอบอาชีพขายบริการทางเพศกว่า 17,000 คน ในประเทศ พบสาวกรีซกำลังการเป็นผู้ให้บริการหลักแทนที่หญิงสาวจากประเทศในฝั่งยุโรปตะวันออก และค่าบริการทางเพศในกรีซถือว่าถูกที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป

                ศาสตราจารย์ลาซอสกล่าวว่า “ผู้หญิงบางคนยอมขายบริการทางเพศเพื่อแลกกับพายชีสหรือแซนด์วิชเพียงชิ้นเดียวเพราะพวกเธอเหล่านั้นต่างหิวโหย ขณะที่บางคนประกอบอาชีพนี้เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าภาษี  ชำระหนี้ หรือเพื่อนำไปซื้อยาเสพติด”





                ในช่วงแรกที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในประเทศกรีซ มูลค่าในการซื้อบริการทางเพศอยู่ที่ 50 ยูโร (ประมาณ 1,900 บาท) แต่ในปัจจุบันมูลค่าดังกล่าวลดลงเหลือต่ำสุดเพียง 2 ยูโรเท่านั้น (ประมาณ 80 บาท) สำหรับการซื้อบริการทางเพศเป็นเวลา 30 นาที




                ศาสตราจารย์ลาซอสกล่าวเพิ่มว่า “ผู้หญิงที่ยอมขายบริการในราคาดังกล่าวมีเพียง (2 ยูโร) ประมาณ 400 คน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้หญิงขายบริการหลายพันคนในประเทศ แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนจนกระทั่งเกิดวิกฤติทางการเงิน และในบรรดาผู้ให้บริการทางเพศทั้งหมดในประเทศปัจจุบันมีหญิงชาวกรีซเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนราว 80 เปอร์เซนต์”
จากผลการศึกษาที่หลากหลายพบว่า หญิงสาวอายุน้อยซึ่งเป็นหนึ่งกลุ่มที่เสนอขายบริการทางเพศในราคาที่ถูกที่สุดกำลังเพิ่มมากขึ้น โดยไม่มีท่าที่จะลดลง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วยอัตราเร็วคงที่และสม่ำเสมอ








ที่มา – independent 
           khaosod
   flagfrog